Back

โลกร้อน เพราะกินข้าว จริงเหรอ?

โลกร้อน เพราะกินข้าว? จริงหรอ แล้วต้นตอมาจากอะไร วันนี้พี่หมีจะมาไขข้อสงสัยให้กับทุกคน ว่าอาหารที่เรากินทุกวันนี้ มีส่วนที่ทำให้โลกของเราร้อนขึ้น

อาหารคือหนึ่งในปัจจัยสี่ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทุกคนจำเป็นต้องทานกันเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด แต่ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมอาหาร ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเราเป็นอย่างมาก ก๊าซเรือนกระจกต่าง ๆ ก็มีส่วนที่เกิดจากอุตสาหกรรมอาหารด้วยเช่นกัน

ทุกวันนี้เทคโนโลยีของเราก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้เราสามารถผลิตอาหารได้เป็นจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น แต่กระบวนการและเส้นทางกว่าจะมาเป็นอาหารหนึ่งจานของเรา รวมไปถึงหลังจากทที่เราทานเสร็จ กระบวนการเหล่านั้นเป็นส่วนที่ทำให้โลกของเราร้อนขึ้น!!

โลกร้อน เพราะกินข้าว

โลกร้อน จากกระบวนการผลิตอาหาร

การใช้พื้นที่เพาะปลูกและทำปศุสัตว์ 

การใช้พื้นที่ในสัดส่วนมากนี้นำมาสู่ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ำที่ลดน้อยลง คุณภาพดินที่แย่ลง ความหลากหลายทางระบบนิเวศน้อยลง และการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ

การใช้น้ำและมลพิษทางน้ำ

ภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารมีการใช้น้ำในสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 70 ของปริมาณน้ำที่มีการใช้ในอุตสาหกรรมทั่วโลกในแต่ละปี โดยธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์มีการใช้น้ำค่อนข้างมาก หากเปรียบเทียบปริมาณน้ำที่ใช้สำหรับผลิตเนื้อสัตว์ พบว่าเนื้อวัวมีการใช้น้ำประมาณ

ปริมาณการใช้น้ำที่มากในส่วนใหญ่ร้อยละ 98 อยู่ในกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ (Animal Feed) ซึ่งในกระบวนการดังกล่าวยังมีส่วนที่ทำให้เกิดน้ำเสีย เพราะการผลิตอาหารสัตว์มักมีการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงค่อนข้างมาก

การปล่อยก๊าซคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจก

เกษตรและอุตสาหกรรมอาหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนคิดเป็นร้อยละ 20-25 ของปริมาณคาร์บอนทั้งหมดที่มีการปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศในแต่ละปี ซึ่งเกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การย่อยอาหารของสัตว์ (Enteric Fermentation) การผลิตอาหารสัตว์ (Feed Production), และจัดการมูลสัตว์ (Manure Management) เป็นต้น 

การผลิตปุ๋ย

ปุ๋ยไนโตรเจนถือเป็นแหล่งสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในขณะเดียวกันก็พบว่ามูลสัตว์และปุ๋ยเคมีสามารถปล่อยคาร์บอน 2.6 กิกะตันต่อปี ซึ่งมากกว่าการบินและการขนส่งทั่วโลกรวมกัน

โลกร้อน เพราะกินข้าว

ก๊าซเรือนกระจก 3 ชนิด จากการทำปศุสัตว์

1. ก๊าซมีเทน (Methane, CH4) เกิดจากกระบวนการ การหมักย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง ซึ่งจะปล่อยออกมาทางลมหายใจและการเรอ รวมถึงมูลสัตว์ที่ถูกเก็บไว้ในโรงเรือนและกลางแจ้ง ส่งผลทำให้เกิดภาวะโลกร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 21 เท่า

2. ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (Nitrous oxide, N2O) เกิดจากการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนในแปลงพืชอาหารสัตว์ และเกิดจากมูลและปัสสาวะของสัตว์ ซึ่งก๊าซเรือนกระจกชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 310 เท่า 

3. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon dioxide, CO2) แหล่งผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากสัตว์ที่สำคัญ ได้แก่ การหายใจของสัตว์ การขยายพื้นที่สำหรับทำทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตอาหารสัตว์ การแปรรูป และการขนส่ง 

อาหารที่ผลิต Carbon footprint มากที่สุด

  1. เนื้อวัว (ฟาร์มโคเนื้อ) 99.48 kgCO2-eq
  2. ดาร์กช็อกโกแลค 46.65kgco2-eq
  3. เนื้อแกะ 39.72 kgCO2-eq
  4. เนื้อวัว (ฟาร์มโคนม) 33.3 kgCO2-e9
  5. กาแฟ 28.53 kgC02-eq

ไม่เพียงอุตสาหกรรมการผลิตอาหารเท่านั้น แต่เศษอาหารที่เราทานเหลือ ก็เป็นต้นตอของปัญหา Food Waste สิ่งที่เราสามารถช่วยได้คือ

  1. เลือกซื้อเฉพาะของที่จำเป็น 
  2. ลดกินเนื้อและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ 
  3. ลดการกินอาหารแปรรูป
  4. ซื้ออาหารท้องถิ่นและกินตามฤดูกาล ลดพลังงานในการขนส่ง การเก็บรักษา รวมถึงลดการใช้สารเคมีที่เกินพอดี
  5. ทานอาหารประเภท ECO Food

บริโภอาหารแต่พอดี ไม่ซื้อสินค้าที่เกินความจำเป็น และหากเป็นไปได้ พี่หมีอยากจะชวนทุกคนลดการทานเนื้อสัตว์ประเภทที่ปล่อย Carbon Footprint ที่ส่งผลให้ โลกร้อน จำนวนมากนะฮะ เพื่อให้โลกของเราค่อย ๆ ดีขึ้น

✨โหลด ECOLIFEapp เพื่อเข้าร่วมเป็นชาว ECO ได้ที่ :

👉🏻iOS download: https://apple.co/3tNdnZF

👉🏻Android download: https://bit.ly/3LqkCMO

ติดตามข้อมูลข่าวสารของ คิดคิด และ ECOLIFE ได้ที่

Facebook: ECOLIFE

Website: คิดคิด / ECOLIFE

Editor Kidkid
Editor Kidkid